แสงไฟนวลในออฟฟิศ " Whisper Books"
ส่องสะท้อนบนโต๊ะไม้เรียบขัดเงา เสียงพิมพ์โรคและเสียงกระซิบคุยงานกันของบรรณาธิการกับนักเขียนเงียบลง เมื่อบ่ายเวลาคล้อย
หนูนา ค่อยไปเคลียร์โต๊ะเก็บเอกสารใส่กระเป๋า มือวางเรียงหนังสือและแฟ้มงานอย่างเป็นระเบียบ
สายตาเลื่อนมองนาฬิกาข้อมือการเวลาพอดีที่จะรับไปต่อที่ป้ายรถเมล์ก่อนขึ้นสถานีบีทีเอส
ถุงเอกสารและแล็ปท็อปถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยในกระเป๋า
เธอลุกจากเก้าอี้พาดเสื้อคลุมกับไหล่ สัมผัสบรรยากาศความวุ่นวายที่เริ่มจางหายไป
ประตูแก้วบานใหญ่เปิดออกด้วยเสียงเบาๆๆพร้อมกับความหวังเล็กกว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้
"สวัสดีค่ะพี่ต่ายและเพื่อนๆๆทุกท่านวันนี้เราขอตัวกลับก่อนนะคะ"
"อ้าว! ทำไมล่ะทำไมถึงรีบกลับค่ะยัยหนูนา"
"หนูรู้สึกตัวไม่ค่อยสบายค่ะ จะไปหาหมอสักหน่อยตั้งแต่กลับมาจากต่างจังหวัดเริ่มมีไข้ขึ้นค่ะ"
"เออ..จริงด้วยซิ ดูสีหน้าแกตอนนี้สิซี้ดซีด เหงื่อเต็มตัวทั้งลำคอใบหน้า แล้วกลับไงล่ะ พี่ไปส่งไหม"
" หนูเรียกรถมาค่ะ "
" จ้า เดินทางปลอดภัยนะถึงที่พักแล้วโทรมาด้วยนะ"
"ค่ะพี่ต่าย สวัสดีค่ะทุกท่านรถมาถึงแล้วขอตัวก่อนนะคะ"
ร่างบอกบางของหนูนากับอาการใจหวิว พยายามเข้มแข็งประคองตัวเองไปขึ้นรถและหลับไป
รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงหน้าคอนโดที่พักแล้ว ทั้งที่ในใจอยากนั่งบีทีเอส เพื่อประหยัดค่ารถแล้วเก็บเงินเพื่ออนาคตของเราสองคน
เธอเดินออกจากออฟฟิศสำนักพิมพ์ "Whisper Books" ในวันที่ฟ้าสีเทา เหมือนหัวใจตอนนี้
มือสั่นตอนก้มเก็บเอกสารใส่กระเป๋า เหนื่อยจนต้องกลั้นน้ำตาต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าตาเธอบวมมาตั้งแต่เช้า
หลังจากอกหักเมื่อคืน เธอถูกบอกเลิกโดยผ่านประโยคคำพูดจากเขาและเพื่อนกลุ่มวิศวกร เธอคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำ มันผิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ?
แค่การที่เราคบหากับใครสักคนแล้วเผลอวางแผนคิดถึงอนาคตร่วมกับเขา โดยที่ไม่ได้คุยกันและไม่ได้ไปถามเขา ว่าพร้อมอยากใช้ชีวิตไปด้วยกันไหม
หรือแค่เพราะเรามีเวลาไม่เท่ากัน ต้องกลายเป็นคนผิดหรือ