รถหุ้มเกราะขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วพาให้เส้นทางที่มันวิ่งผ่านปรากฏฝุ่นทรายฟุ้งกระจายเป็นทางยาว ผ่านไปชั่วโมงกว่ารถจึงจอดนิ่งสนิทอยู่บนเนินทรายแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าปรากฏสันทรายขนาดเล็กเกาะกลุ่มเรียงรายเป็นทรงกลม ตรงกลางเป็นแอ่งทรายลึกลงไปกว่าสิบเมตร คนทั้งสี่ลงจากรถด้วยอาการตื่นตะลึงตาค้าง
หัวหน้าหน่วยที่สามเห็นสถานที่จริงที่เขามองผ่านกล้องส่องทางไกลเมื่อวานพลันให้รู้สึกขนลุกขนพองไม่น้อย หลังการต่อสู้ระหว่างสัตว์กลายพันธุ์สองตัว ตัวหนึ่งตาย ตัวหนึ่งรอด หลังฝุ่นทรายสงบลงเขาตัดสินใจรอดูสถานการณ์ไม่ได้บุ่มบ่ามเข้ามาสำรวจพื้นที่ในทันที ไม่เช่นนั้น…
"มองไม่ออกเลยว่าที่นี่จะมีแอ่งทรายลึกขนาดนี้" หนึ่งในสมาชิกในหน่วยเอ่ยขึ้นหลังจากคลายความตกตะลึงไปแล้ว
"ไม่ใช่" รองหัวหน้าหน่วยที่สามเหลือบมองไปที่หัวหน้าของตน "นี่เป็นฝีมือของสัตว์กลายพันธุ์อีกตัว คาดว่าหลังจากจบการต่อสู้ สัตว์ตัวนั้นมันคงมุดทรายเพื่อหลบหนีไป"
'มีตัวอะไรหลบซ่อนอยู่ในแอ่งทรายอย่างนั้นหรือ เมื่อวานตอนที่เขาจากมาในแอ่งทรายแห่งนี้ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใด ๆ หลงเหลืออยู่มิใช่หรืออย่างไร' เด็กหนุ่มที่ซุ่มดูอยู่ในระยะไกลได้ยินคนเหล่านั้นพูดคุยกันพาให้ฉงนสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่เขาเฝ้าจับตาดูและลอบฟังการสนทนาของคนกลุ่มนี้มาหนึ่งคืน เขาก็พอเข้าใจภาษาประหลาดนี้ขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมดแต่นับว่ามีความก้าวหน้าขึ้นมากทีเดียว
เด็กหนุ่มเห็นคนทั้งสี่ไถลตัวหายลงไปในแอ่งทราย เนื่องจากมีสันทรายบดบังจึงไม่เห็นสถานการณ์ด้านล่าง เขาจำต้องมองหาเนินทรายที่สูงกว่า ห่างไปทางทิศตะวันตกมีภูเขาทรายอยู่ลูกหนึ่ง เขาสลัดความคิดวุ่นวายทิ้งไปดั่งเช่นที่ผ่านมาทะยานไปยังภูเขาทรายลูกนั้นทันที
ในแอ่งทราย คนทั้งสี่ปลดเชือกออกจากฟิกเกอร์กู้ภัยที่คล้องอยู่ที่เอว ปลายเชือกอีกด้านหนึ่งถูกผูกไว้กับรถหุ้มเกราะ หลังจากที่ลงมาแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันทำงาน ไม่กี่นาทีถัดมาเศษซากร่างมนุษย์ที่ไม่เหลือสภาพถูกนำมากองรวมกัน
"ไม่มีทั้งข้อมูลเบาะแสของฐานกัวจวิ้น และไม่มีทรัพยากรอะไรหลงเหลือให้เก็บเกี่ยว" หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างสุดแสนเสียดาย
"พวกเรายังมีคริสตัลนิวเครียสระดับห้าอยู่ก้อนหนึ่ง" รองหัวหน้าหน่วยเอ่ยเตือน แต่ในน้ำเสียงกลับเจือไปด้วยความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านวันสิ้นโลกมาแล้วสองปี แม้จะปรากฏผู้ใช้พลังพิเศษมากขึ้น แต่ผู้มีพลังระดับสูงสุดกลับอยู่เพียงแค่ระดับสี่ เช่นนั้นคริสตัลนิวเครียสระดับห้าที่ได้มาเปล่า ๆ โดยไม่ต้องลงแรงนี้นับว่าได้ว่าเป็นโชคที่หล่นมาจากฟ้าจริง ๆ ไม่ว่าจะเก็บไว้เองเพื่อเลื่อนระดับหรือเอาไปแลกเสบียงทรัพยากรล้วนได้กำไรทั้งสิ้น
ต้องเข้าใจก่อนว่า มนุษย์ที่มีพลังพิเศษระดับสี่เมื่อสู้กับสัตว์กลายพันธุ์ในระดับเดียวกัน นอกจากความแข็งแกร่งของร่างกายที่ตกเป็นรองแล้ว พวกเขายังต้องเสี่ยงกับการถูกแพร่พิษซอมบี้ในระหว่างต่อสู้อีกด้วย ดังนั้นการจะได้คริสตัลนิวเครียสระดับห้ามาไว้ในครอบครองก็ได้แต่ฝันเท่านั้น
เพื่อป้องกันไม่ให้รถหุ้มเกราะลื่นไถลลงจากเนินทราย พวกเขาทั้งสี่จึงแบ่งเป็นสองทีม ทีมแรกปีนขึ้นไปก่อน จากนั้นทีมที่เหลือค่อยไต่เชือกตามขึ้นไป ผ่านไปราวสิบนาที ทุกคนก็พร้อมสำหรับการสำรวจรอบ ๆ แอ่งทรายแห่งนี้
พวกเขากระจายกำลังกันหาซากสัตว์ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง หนึ่งในสมาชิกหน่วยพลันตะโกนพลางโบกไม้โบกมือ แต่เพราะรอบด้านเป็นที่กว้างโล่ง เสียงตะโกนจึงถูกลมทะเลทรายพัดกระจัดกระจายจนฟังไม่ถนัด ไม่ทันที่สมาชิกในหน่วยคนอื่น ๆ จะอ่านสัญญาณมือ รองหัวหน้าหน่วยที่สามก็ตะโกนเสียงดังมาจากอีกทิศทางหนึ่งพลางโบกไม้โบกมือในลักษณะเดียวกัน
สมาชิกหญิงหนึ่งเดียวในหน่วยอยู่ใกล้กับตำแหน่งที่รองหัวหน้าหน่วยที่สามยืนอยู่มากที่สุดเธอจึงวิ่งไปหาเขา หัวหน้าหน่วยที่สามเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งไปทิศทางที่สมาชิกหน่วยอีกคนยืนอยู่ พวกเขาใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็กลับมารวมตัวกันที่ข้างรถหุ้มเกราะ ในมือของทั้งสองฝ่ายต่างมีคริสตัลนิวเครียสสีเขียวฝ่ายละหนึ่งก้อน
"ฉันมองไม่ผิดแน่ ๆ คริสตัลนิวเครียสที่หล่นลงมาจากการระเบิดตัวของสัตว์กลายพันธุ์ตัวนั้นเป็นคริสตัลนิวเครียสสีเหลือง" หัวหน้าหน่วยที่สามพูดยืนยันหนักแน่น คนทั้งสามที่เหลือต่างพยักหน้ารับ แม้จะไม่มีกล้องส่องทางไกล แต่ประกายแสงสีเหลืองที่กระทบถูกแสงแดดของคริสตัลนิวเครียสพวกเขาทั้งหมดล้วนเห็นกับตา
"หรือพวกเราเข้าใจผิดมาตั้งแต่แรก" รองหัวหน้าหน่วยที่สามพูดพลางมองคริสตัลนิวเครียสทั้งสองก้อนสลับไปมา "จริง ๆ แล้วคนของหน่วยที่สิบหกไม่ได้ตกอยู่ในวงล้อมการต่อสู้ระหว่างสัตว์กลายพันธุ์สองตัว แต่อาจจะเป็นสัตว์กลายพันธุ์…ฝูงหนึ่ง" คำสุดท้ายหลุดออกจากปากด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
สมาชิกในหน่วยที่เหลือถึงกับลอบสูดหายใจเย็นเยียบ หากเป็นพวกเขาตกอยู่ในวงล้อมการต่อสู้ระหว่างสัตว์กลายพันธุ์ระดับสี่ ระดับห้าฝูงหนึ่ง…
"พะ พวกเราลองสำรวจรอบ ๆ แอ่งนี้อีกครั้งเถอะ" หนึ่งในสมาชิกของหน่วยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยที่สามพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต พวกเขาจึงกระจายกำลังกันไปโดยรอบอีกครั้งหนึ่ง
บนยอดภูเขาทรายห่างจากแอ่งทรายออกไปราวสามสิบลี้ [1] เด็กหนุ่มมองดูคนทั้งสี่กระจายตัวอยู่โดยรอบแอ่งทรายเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างก่อนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และจากการที่ลอบฟังบทสนทนาของคนเหล่านั้นทำให้มีความเข้าใจต่อสิ่งที่เรียกว่าคริสตัลนิวเครียสมากขึ้น
เด็กหนุ่มหายเข้าไปในมิติจิตพร้อมกับจิ้งจอกน้อย หลังจากกวาดตามองพื้นที่ภายในมิติจิตครู่หนึ่งจึงได้กล่าวกับเจ้าจิ้งจอกน้อยที่ยืนเกาะอยู่บนไหล่
"เสี่ยวเชา เหตุใดเจ้าถึงได้ปล่อยให้มิติจิตของข้ารกรุงรังเช่นนี้ กว่าจะหาสิ่งที่เรียกว่าคริสตัลนิวเครียสสีเหลืองจนพบไม่ลำบากข้าแย่หรืออย่างไร"
จื่อเชามองหน้าผู้เป็นนายด้วยแววตาสีน้ำเงินอันใสซื่อบริสุทธิ์ มันอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเอง ภาชนะที่ใส่น้ำวางอยู่เกลื่อนจนไม่มีทางให้เดินก็เป็นท่านที่ว่างเอง มุกวิญาณก็เป็นท่านที่โยนส่ง ๆ เข้ามาเอง ไม่ใช่ว่าเป็นท่านเองที่ทำให้ตัวเองลำบากหรืออย่างไร
เด็กหนุ่มสลัดความคิดวุ่นวายทิ้งไปดั่งเช่นที่ผ่าน ปล่อยมิติจิตอันรกรุงรังไว้เบื้องหลัง แล้วไปซุ่มดูคนกลุ่มนั้นต่อ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม [2] คนเหล่านั้นก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก่อนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง เขาจึงติดตามไปโดยทิ้งระยะเช่นเดิม
ผ่านมาแปดวันเด็กหนุ่มเริ่มเบื่อหน่ายที่ต้องลอบติดตามคนเหล่านั้น ในทุกวันระหว่างแปดวันที่ผ่านมาล้วนราบรื่นไร้เรื่องราว ไม่ว่าคนเหล่านี้เดินทางไปในเส้นทางไหนล้วนไม่พบเจอผู้คนหรือแม้กระทั่งสัตว์อสูรแม้แต่ตนเดียว ยามกลางวันยังคงติดตาม ยามค่ำคืนเขาถึงกับยอมลำบากเข้าไปเก็บกวาดพื้นที่ภายในมิติจิตอยู่หลายครั้งหลายครากระทั่งพอมีพื้นที่ให้ตนเองได้ล้มตัวลงนอนอย่างมีความสุขโดยใช้ร่างจิ้งจอกน้อยต่างหมอนหนุน
ค่ำคืนนี้เด็กหนุ่มตั้งใจจะเข้าไปพักผ่อนหลับนอนในมิติจิตของตน ในที่ห่างไกลซึ่งเป็นที่พักแรมของคนเหล่านั้นพลันเกิดความเคลื่อนไหวขึ้น
"เธอบอกว่าเธอกำลังจะเลื่อนระดับอย่างงั้นหรือ?" รองหัวหน้าหน่วยที่สามเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อก่อนจะข่มจิตใจให้สงบลง "เธอรู้สึกตั้งแต่เมื่อไร"
"เมื่อสองวันก่อน" สมาชิกหญิงหนึ่งเดียวในหน่วยเอ่ยตอบเสียงเบา ก่อนโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง "ฉันพยายามฝืนระงับพลังที่ปะทุขึ้นมาแล้ว แต่ตอนนี้ฉันต้านไม่ไหวแล้วจริง ๆ"
"เรื่องนี้ต้องรีบรายงานหัวหน้า"
การสนทนาไม่กี่ประโยคทำให้คนในค่ายเกิดการเคลื่อนไหวปั่นป่วนไม่น้อย เด็กหนุ่มที่ซุ่มดูอยู่ในระยะไกลรู้สึกได้ว่ากำลังมีเรื่องสนุกให้เขารอชมอยู่ เขาเห็นคนทั้งสี่ออกมาจากกระโจมที่พัก จากนั้นก็พากันก่อกองไฟล้อมที่พักไว้อีกหลายกอง ท่ามกลางความมืดมิดในคืนซึ่งไร้ดาวเดือนเช่นนี้แม้เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ได้ฝึกพลังปราณก็สามารถมองเห็นค่ายพักแรมแห่งนี้ได้ในระยะไกล
หลังจากก่อกองไฟโดยรอบจนสว่างไสวแล้ว สตรีเพียงหนึ่งเดียวได้นั่งขัดสมาธิลงตรงกลาง โดยมีบุรุษทั้งสามยืนล้อมรอบโดยหันหลังให้กับนาง คนทั้งสามยืนในลักษณะตั้งท่าเตรียมพร้อมรับศึก เด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้นพลันให้นึกฉงนสงสัย ด้วยรอบ ๆ รัศมีห้าร้อยลี้มีคนกลุ่มนี้เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น หรือว่าคนเหล่านี้จะล่วงรู้ว่าเขาลอบติดตามและจับตาดูอยู่
"เจ้าคงไม่ได้เผยพิรุธใช่หรือไม่" เขาหันไปถามจิ้งจอกน้อยที่ยืนเกาะอยู่บนไหล่
จื่อเชามองใบหน้างดงามของผู้เป็นนายพลางพ่นลมหายใจคราหนึ่งอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือมันเพียงกระดิกหางกระต่ายของมัน มนุษย์หน้าเหม็นที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบลี้ สามสิบลี้เหล่านั้นก็รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของมันได้แล้ว!
เด็กหนุ่มสลัดความคิดวุ่นวายทิ้งไปดั่งเช่นที่ผ่านมาจากนั้นจึงหันไปซุ่มดูคนกลุ่มนั้นราวกับกำลังรอชมเรื่องสนุก เขาเห็นสตรีที่นั่งอยู่กลางวงล้อมนำคริสตัลนิวเครียสสีน้ำเงินออกมาวางไว้บนฝ่ามือ เพียงชั่วประกายไฟแลบร่างของนางพลันอาบไล้ไปด้วยแสงสีน้ำเงินบางเบา ก่อนค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ผ่านไปหนึ่งเค่อ [3] เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวนาง
'ไม่ใช่ทั้งพลังปราณจากการฝึกยุทธ์และพลังฤทธิ์จากตบะบำเพ็ญเพียร เช่นนั้นแล้วมันคือพลังอะไรกันแน่'
พลังที่สตรีผู้นั้นแผ่ออกมายิ่งนานยิ่งเข้มข้น แสงที่อาบไล้ร่างของนางก็ยิ่งส่องประกายเจิดจรัสมากขึ้น แต่คริสตัลนิวเครียสบนฝ่ามือของนางสีสันกลับซีดจากลงไปทีละน้อย กระทั่งสองชั่วยามผ่านพ้นไป ในความมืดมิด แสงสว่างสายหนึ่งบินฝ่าอากาศไปอย่างรวดเร็ว
'มาแล้ว?'
เด็กหนุ่มที่รู้สึกเบื่อหน่ายมาหลายวันมองไปยังท้องฟ้าพลางร่ายอาคมสร้างข่ายอาคมเกราะป้องกันรัศมีสองจั้ง [4] แต่แสงสว่างสายนั้นกลับบินเลยผ่านศีรษะของเขาไป เป้าหมายของพวกมันกลับเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในวงล้อมของกองไฟ โดยมีบุรุษทั้งสามตั้งท่าเตรียมรับมืออยู่ก่อนแล้ว แม้จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่การรอชมเรื่องสนุกโดยไม่ต้องลงแรงนั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน
เขาเห็นบุรุษหนึ่งในนั้นสามารถเสกลูกไฟขึ้นในฝ่ามือ จากนั้นก็ขว้างใส่ฝูงแมลงสัตว์อสูรกระทั่งพวกมันแตกกระเจิง มีแมลงสัตว์อสูรส่วนหนึ่งถูกไฟจากลูกไฟของคนผู้นี้เผาผลาญจนกระทั่งตกลงมาตายอยู่บนพื้นทราย
ในเวลาถัดมาบุรุษอีกผู้หนึ่งก็วาดฝ่ามือไปทางผู้ที่สร้างลูกไฟ ใต้เท้าของคนผู้นั้นปรากฏวงอักขระแปลกตาสีเขียวอ่อนสว่างวาบขึ้น ลูกไฟที่ถูกเสกขึ้นมาใหม่พลันมีอานุภาพรุนแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังถูกห่อหุ้มไปด้วยประกายสายฟ้าสีเขียวอ่อน ยามขว้างออกไปแม้ลูกไฟจะแตกออกแล้วสลายไปแต่ประกายสายฟ้ากลับยังคงวิ่งผ่านแมลงสัตว์อสูรตัวแล้วตัวเล่าที่บินเกาะกลุ่มกันจนพวกมันร่วงหล่นลงบนพื้นทรายเป็นจำนวนมาก แมลงสัตว์อสูรเหล่านั้นหาได้ตกตายไม่ มันเพียงไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เท่านั้น
ส่วนบุรุษคนสุดท้ายกลับก้าวถอยหลังเข้าสู่ใจกลางวงล้อมด้วยท่าทางกระวนกระวาย รั้งรอจนกระทั่งสหายอีกสองคนสกัดกั้นการโจมตีของเหล่าแมลงสัตว์อสูรไปได้พอสมควร คนผู้นั้นอาศัยจังหวะที่เหล่าแมลงสัตว์อสูรบินขึ้นไปรวมฝูงกัน วิ่งฝ่าออกนอกวงไปยังแมลงที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้บนพื้นทราย ทำท่าทางกำมือคราหนึ่ง คลายมือคราหนึ่ง แล้ววิ่งกลับเข้าไปยังกลางวงล้อมอย่างรวดเร็วดุจติดปีกบิน
'เจ้าหนูขี้ขลาดตัวนั้นกระทำสิ่งใดกันแน่' เด็กหนุ่มมองการกระทำของคนผู้นั้นด้วยความฉงนสงสัย ผ่านไปหลายเค่อการต่อสู้ของคนทั้งสองกับแมลงอสูรฝูงหนึ่งกลับยังยืดเยื้อไม่จบสิ้น กระบวนท่าที่ใช้ออกของแต่ละคนก็ไม่มีการพลิกใด ๆ เขามองดูจนรู้สึกเบื่อหน่ายราวกับกำลังมองเงาบนโคมม้าวิ่ง [5] ที่ปรากฏแต่ภาพซ้ำไปซ้ำมา ในยามนั้นเองแมลงสัตว์อสูรที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นจู่ ๆ กลับดิ้นทุรนทุรายขึ้นมาก่อนตกตายไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เขาจ้องมองไปยังเจ้าหนูขี้ขลาดผู้นั้นด้วยแววตาเป็นประกาย
"เสี่ยวเชา คนผู้นั้นดูเหมือนจะใช้วิชาพิษเช่นเดียวกับเจ้า"
จื่อเชาที่เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับปฐมภูมิหาได้มีสายตาเฉียบคมดั่งผู้เป็นนายไม่ จึงมิได้เห็นเหตุการณ์ยังเบื้องหน้า ในสายตาของมันเห็นแสงสว่างจากกองไฟที่ถูกก่อขึ้นโดยรอบคนกลุ่มนั้นเป็นเพียงแสงเทียนริบหรี่ขนาดเท่าเม็ดถั่วเท่านั้น
ผ่านไปอีกกว่าชั่วยาม แมลงสัตว์อสูรยังคงเหลืออยู่ถึงหกส่วน แต่คนทั้งสามเริ่มอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่วาดอักขระแปลกตาล้มพับลงไปเป็นคนแรก เด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้วมุ่น
"ข้าสมควรช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่?" เขาเอ่ยถามจิ้งจอกน้อยที่นั่งอยู่บนไหล่ แต่สายตายังคงจ้องมองสภาพที่อยู่เบื้องหน้า คนทั้งสามคล้ายดั่งได้มาถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว จากนั้นพลันทอดถอนใจรำพึงขึ้นมาว่า "มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเห็นแก่ตัวเองก่อนเสมอทั้งสิ้น…แต่ข้าหาใช่มนุษย์ไม่"
ทางด้านหัวหน้าหน่วยที่สาม หลังจากเห็นสมาชิกในหน่วยคนหนึ่งล้มพับไปเพราะหมดแรง เมื่อขาดพละกำลังฝ่ายสนับสนุน คนที่ใช้พิษจึงไม่อาจเข้าใกล้ฝูงแมลงกลายพันธุ์ได้ การโปรยพิษกลางทะเลทรายเวิ้งว้างเช่นนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่อาจพยากรณ์ทิศทางลมในทะเลทรายได้เลย เมื่อเหลือบมองไปทางคริสตัลนิวเครียสสีน้ำเงินที่อยู่ในฝ่ามือของหญิงสาว สีสันของมันเพิ่งจางลงไปได้แค่สี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คาดว่ากว่าที่เธอจะดูดซับพลังในคริสตัลนิวเครียสจนหมดคงเลยเที่ยงวันพรุ่งนี้ไปแล้ว
แมลงกลายพันธุ์ระดับหนึ่งขนาดตัวเท่ากำปั้นหากพบเจอตัวเดียวก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แค่ระวังไม่ไปสัมผัสถูกพิษบนปีกของมันก็ถือว่าปลอดภัย แต่พวกแมลงกลายพันธุ์เหล่านี้กลับชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งน้อยที่สุดก็ราวพันกว่าตัว มากที่สุดก็เกือบหมื่นตัว ที่สำคัญพวกมันไม่กลัวตาย เมื่อพบเห็นสิ่งมีชีวิตเมื่อไรมันก็จะติดตามไม่ปล่อยจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
หลังจากที่เขาขว้างลูกไฟออกไปเผาแมลงกลายพันธุ์อีกลูกหนึ่ง พวกมันก็พากันแตกกระเจิงบินหนีหายขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด ปรากฏเป็นภาพราวกับหมู่ดาวทอประกายอยู่บนฟ้า ก่อนกรูกันลงมารวมฝูงกันอีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่หลงเหลือพลังให้เค้นออกมาอีกแล้ว แค่จะหยัดยืนไม่ให้ล้มลงไปเหมือนคนอื่น ๆ ก็ยังฝืนกำลังร่างกายเต็มที
ในระหว่างที่คิดว่าตัวเองหมดสิ้นหาทาง ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้กลางทะเลทรายเพราะภารกิจระดับสองซึ่งเป็นแค่ภารกิจง่าย ๆ อย่างการรับข่าวสารที่สมาชิกหน่วยที่สิบหกส่งกลับมายังฐาน ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ พวกแมลงกลายพันธุ์ที่กำลังพุ่งลงมาใส่พวกเขากลับหยุดชะงักกลางอากาศ ราวกับว่าพวกมันหาเป้าหมายไม่พบ ความสามารถในการจับทิศทางเกิดผิดปกติ บินวนสะเปะสะปะอยู่เหนือค่ายพักเหมือนแมลงวันตาบอด ในที่สุดก็ค่อย ๆ บินหายไปในความมืด
"หรือว่าจะมีคนกำลังเลื่อนระดับอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้" รองหัวหน้าหน่วยที่สาม ผู้ที่ใช้พิษเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาผิดปกติของแมลงกลายพันธุ์พวกนั้น หัวหน้าหน่วยที่สามได้ยินเช่นนั้นกลับไม่สนใจ เขาไม่สนว่าจะมีใครเลื่อนระดับอีกหรือไม่ ไม่สนใจว่าคนคนนั้นจะเคราะห์ร้ายแค่ไหนที่ต้องมาเจอกับแมลงกลายพันธุ์พวกนั้น เขาสนใจแค่เวลานี้เขารอดแล้ว พวกเขารอดแล้ว!
การเลื่อนระดับเวลาอยู่นอกฐานของผู้ใช้พลังพิเศษถือว่าเป็นอะไรที่อันตรายมาก เพราะการเลื่อนระดับแต่ละครั้งนั้นผู้ใช้พลังพิเศษต้องปลดปล่อยพลังที่อยู่ภายในตัวออกมาทั้งหมดเพื่อเป็นตัวเหนี่ยวนำพลังงานในคริสตัลนิวเครียส ระหว่างนั้นสีของคริสตัลนิวเครียสจะค่อย ๆ ซีดจางลง เมื่อสะสมพลังเข้ากับตัวเหนี่ยวนำได้ทั้งหมดคริสตัลนิวเครียสเปลี่ยนเป็นผลึกแก้วใส
ในระหว่างที่ผู้ใช้พลังพิเศษปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมด ร่างกายคล้ายจะเหลือแต่เปลือก ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้ ไม่สามารถเคลื่อนไหว หรือที่เรียกกันว่า 'ภาวะจำศีล' อีกทั้งพลังที่แผ่ออกมานั้นยังไปกระตุ้นสัญชาตญาณในการเลื่อนระดับของพวกซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ พวกมันไม่มีภาวะจำศีล มันเพียงแค่เข่นฆ่าจากนั้นก็กลืนกินคริสตัลนิวเครียสที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ลงไป
เวลาในการสะสมพลังงานในคริสตัลนิวเครียสหรือภาวะจำศีลของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมพลังของตนว่าจะเหนี่ยวนำพลังงานที่อยู่ในคริสตัลนิวเครียสออกมาได้อย่างไร ดังนั้นผู้ใช้พลังพิเศษส่วนใหญ่จะดูดซับคริสตัลนิวเครียสที่อยู่ในระดับเดียวกับพลังพิเศษของตัวเองก่อนจนกระทั่งร่างกายรู้สึกว่ากำลังมีพลังขุมหนึ่งปะทุขึ้นมา ถึงจะใช้คริสตัลนิวเครียสที่อยู่เหนือกว่าระดับของตัวเองเพื่อเลื่อนระดับ แม้วิธีการนี้จะช่วยย่นระยะเวลาของภาวะจำศีลลงได้มาก แต่ก็สิ้นเปลืองคริสตัลนิวเครียสเช่นกัน
คริสตัลนิวเครียสเป็นทรัพยากรที่หาไม่ได้ง่าย ๆ และมีความเสี่ยงสูง จึงทำให้มีผู้ใช้พลังพิเศษไม่น้อยเลือกที่จะใช้คริสตัลนิวเครียสที่อยู่เหนือกว่าระดับของตนเอง หากทำสำเร็จก็จะเลื่อนระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไม่สำเร็จโอกาสที่ร่างจะแหลกเหลวเพราะรับพลังจากคริสตัลนิวเครียสไม่ไหวก็สูงไม่แพ้กัน
ในตอนที่เหล่าสมาชิกหน่วยที่สามกำลังดีอกดีใจในความโชคร้ายของผู้อื่นจนทำให้พวกของตนรอดพ้นวิกฤตมาได้ ทางด้านเทพอสูรบรรพกาลซึ่งมีมโนธรรมประจำใจเป็นเลิศกลับกำลังกลัดกลุ้ม หลังจากเขาแผ่กลิ่นอายของตนออกไปเพียงส่วนเดียว เหล่าสัตว์อสูรไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใด ตัวเล็กตัวใหญ่ แมลง สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สองเท้าสี่เท้าหรือมากกว่านั้นจำนวนมากมายมหาศาลจนนับไม่ถ้วนล้วนกรูกันออกมาจากทั่วสารทิศราวกับกระแสน้ำก็มิปาน
มานึกเสียใจภายหลังที่ตนเองใช้พลังฤทธิ์มากเกินไป? ...ในยามนี้ก็สายไปเสียแล้ว การสังหารสัตว์อสูรเหล่านี้สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่เขากลัดกลุ้มอยู่ในยามนี้คือจะใช้วิธีการใดสังหารพวกมันโดยไม่ให้ผู้ที่เขาตามซุ่มดูมาหลายวันรู้ตัว อัสนีสวรรค์เก้าสาย? วิชานี้ไม่ได้ โจ่งแจ้งเกินไป แผ่พลังกดทับ? ไม่ได้ ๆ ยิ่งแผ่กลิ่นอายออกไปมากเท่าไรพวกมันก็ยิ่งแห่แหนกันมามากเท่านั้น ประเดี๋ยวจะเป็นที่สังเกตได้ง่าย พสุธากัมปนาท? วิชานี้ก็ไม่ได้ ระยะเพียงยี่สิบลี้คนพวกนั้นต้องรู้ตัวแน่ ๆ
"เสี่ยวเชา หากเจ้ายังใช้หมอกพิษเก้าฟ้าได้ก็คงจะดีไม่น้อย"
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างรู้สึกจนใจในความโง่เขลาเบาปัญญาของตน ยามนี้มีวิชาสายป้องกันอันแข็งแกร่งติดตัวแล้วอย่างไร เหล่าสัตว์อสูรฝูงมหึมากำลังรุมจู่โจมเข้าใส่ข่ายอาคมเกราะป้องกันของเขาราวกับคลื่นม้วนตลบซัดสาด วิชาโจมตีที่เขาเชี่ยวชาญกลับไม่อาจใช้ออกได้ ช่างน่าโมโหยิ่งนัก! หากรู้เช่นนี้เมื่อกาลก่อนคงตั้งใจร่ำเรียนวิชายุทธ์ วิชาอาคมสายจู่โจมกับสิงโตวายุซิวโจวให้มาก ครั้นแล้วเขาก็นึกถึงวิชายุทธ์ที่เป็นการใช้เพียงพลังปราณวิชาหนึ่งซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานขึ้นมาได้ ซิวโจวเคยกล่าวไว้ว่า หากฝึกฝนวิชานี้จนชำนาญจะสามารถผสานกับพลังฤทธิ์ของเขาได้ แต่เพราะการฝึกวิชาเช่นนี้มันเหนื่อยเกินไป สัญชาตญาณความเกียจคร้านของเต่าพสุธานำพาให้เขาฝึกไปได้เพียงครึ่งขั้นก็ล้มเลิกไม่ฝึกต่อ
"แม้จะสำเร็จเพียงครึ่งขั้นก็ยังดีกว่าไม่มีวิชาติดตัว" เด็กหนุ่มกล่าวอีกทั้งยังมาดหมายว่าจะพยายามฝึกให้สำเร็จในขั้นที่หนึ่งให้จงได้
เขาใช้พลังปราณห้าส่วน คลื่นพลังแผ่ขยายออกไปพัดพาให้กระแสลมในทะเลทรายโดยรอบข่ายอาคมเกราะป้องกันเกิดความปั่นป่วน สัตว์อสูรฝูงใหญ่ที่กำลังพุ่งจู่โจมเข้ามาพลันถูกเม็ดทรายที่มาพร้อมกระแสลมถาโถมโจมตี เม็ดทรายเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนพุ่งทะลุร่างของพวกมันตกตายลงในทันทีอย่างปราศจากการป้องกันหลบเลี่ยง ซากใหญ่น้อยร่วงกราวอย่างไร้สุ้มเสียงลงสู่พื้นทรายราวกับใบไม้ปลิดจากขั้ว กระทั่งยามฟ้าสาง สัตว์อสูรจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนล้วนตายอนาถกลายเป็นซากทับถมกันกองหนึ่งซึ่งแม้กระทั่งเลือดสักหยดก็ไม่มีให้เห็น
เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากได้พักมาหลายชั่วโมงหัวหน้าหน่วยที่สามกับสมาชิกที่เหลือก็ฟื้นคืนกำลังกลับมา เมื่อมีกำลังวังชาแล้วถึงค่อยนึกแปลกใจที่ในระหว่างนี้ไม่มีสัตว์กลายพันธุ์ตัวอื่น ๆ บุกเข้ามาโจมตีค่ายพักอีกแม้แต่ตัวเดียว พวกเขารีบหันกลับไปมองคริสตัลนิวเครียสในมือของหญิงสาวที่อยู่กลางวงล้อม
"อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้ว่าการเลื่อนระดับของเธอจะเสร็จสมบูรณ์ก่อนเวลาเที่ยงวัน" รองหัวหน้าหน่วยที่สามกล่าวประเมิน
"ยังเหลืออีกหลายชั่วโมง พวกเราระมัดระวังและตื่นตัวเอาไว้ตลอดเวลา ฉันจะเฝ้ายามเอง พวกนายสองคนไปเก็บเกี่ยวทรัพยากรเถอะ จำไว้ว่าไปด้วยกัน อยากแยกกันเด็ดขาด" หัวหน้าหน่วยที่สามออกคำสั่งทันทีที่ได้ยินการประเมินนั้น
การออกมาทำภารกิจครั้งนี้ แม้จะไม่ได้ข่าวสารจากหน่วยที่สิบหก อีกทั้งยังบังเอิญที่คนในหน่วยกำลังจะเลื่อนระดับกลางทะเลทราย แต่แล้วในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี พวกเขาต้านรับการโหมจู่โจมของแมลงกลายพันธุ์ไปกว่าค่อนคืน ฆ่าสังหารพวกมันไปหลายร้อยตัวย่อมต้องมีคริสตัลนิวเครียสให้พวกเขาเก็บเกี่ยวเป็นจำนวนมาก แม้มันจะเป็นเพียงแค่คริสตัลนิวเครียสระดับหนึ่งเท่านั้นก็ตาม
ผ่านไปสามชั่วโมงพวกเขาก็เก็บเกี่ยวทรัพยากรจนหมดสิ้น เป็นไปตามที่หัวหน้าหน่วยที่สามคาดการณ์ ในตอนนี้เขามีคริสตัลนิวเครียสสีม่วงกว่าสี่ร้อยก้อน ตามกฎของฐานคริสตัลนิวเครียสที่ได้มาจากการทำภารกิจจะแบ่งให้ผู้ที่ออกปฏิบัติงานตามระดับของแต่ละคน ตอนนี้พวกเขาทั้งสามอยู่ในระดับสองจึงได้ส่วนแบ่งคนละสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนเดิมทีหญิงสาวอยู่แค่ระดับหนึ่งจะได้ส่วนแบ่งแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากกลับเข้าฐานเธอคงได้ส่วนแบ่งเท่า ๆ กับพวกเขาแล้ว
"ไม่ไกลจากที่พวกเราตั้งค่ายพักแรม มีคนกำลังเลื่อนระดับอยู่ ไหน ๆ ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงพวกเราลอบทำตัวเป็นคนตกปลา [6] รอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังดีไหม" หนึ่งในสมาชิกกล่าวหลังตรวจนับคริสตัลนิวเครียสทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย รองหัวหน่วยที่สามได้ยินก็ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
"เกรงว่าพวกเราจะกลายเป็นตั๊กแตน [7] เสียมากกว่า"
"ฉันก็คิดแบบนั้น" หัวหน้าหน่วยที่สามพูดสนับสนุนก่อนอธิบายต่อไปว่า "แมลงกลายพันธุ์ที่โจมตีพวกเราเมื่อคืน จู่ ๆ ก็บินกลับไป แสดงว่ามันต้องถูกพลังที่มากกว่ากระตุ้นสัญชาตญาณในการเลื่อนระดับของพวกมัน เป็นไปไม่ได้ที่คนที่มีพลังระดับนี้และกล้าเลื่อนระดับในทะเลทรายจะไม่มีคนคุ้มกัน การที่ตลอดทั้งคืนไม่มีสัตว์กลายพันธุ์เข้าใกล้ค่ายพักของพวกเราเป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าคนพวกนั้นมีกำลังและความแข็งแกร่งมากมายขนาดไหน"
เชิงอรรถ
[1] ^1 ลี้ (里) = 500 เมตร
[2]^1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
[3]^1 เค่อ (刻) ประมาณ 15 นาที
[4] ^1 จั้ง (丈) = 3.33 เมตร
[5] ^โคมม้าวิ่ง (走马灯) เป็นของเล่นโบราณที่ทำให้เงาในโคมไฟเคลื่อนไหวได้
[6]^คนตกปลา มาจากสำนวนจีน ว่า นกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้รับประโยชน์ (鹬蚌相争,渔翁得利) หมายถึง สองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่กลับให้ฝ่ายที่สามกอบโกยผลประโยชน์ไป
[7]^ตั๊กแตน มาจากสำนวนจีน ว่า ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง 螳螂捕蝉 (黄雀在后) หมายถึง ผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาวรออยู่
