LightReader

Chapter 3 - ตอนที่ 3

ฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้น ท้องฟ้าใสกระจ่างไร้ปุยเมฆ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นกระทั่งโผล่พ้นเนินทรายสูง ๆ ต่ำ ๆ แสงเรื่อสีส้มทองอาบไล้ลงบนผืนทรายปรากฏเป็นเงาดำสลับส้มอมแดงคล้ายดั่งระลอกคลื่น ทุกหนแห่งยังคงเงียบสงัด แม้กระทั่งเสียงกรีดปีกของแมลงที่ร้องระงมตลอดคืนก็ไม่มีให้ได้ยินแล้ว

 มองจากไกล ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบบึงน้ำคล้ายยังคงเดิม แต่เมื่อแสงอาทิตย์อาบไล้มาถึงตำแหน่งที่เด็กหนุ่มก่อกองไฟในค่ำคืนที่ผ่านมา พื้นทรายในรัศมีแปดจั้ง [1] รอบกายพลันปรากฏประกายระยิบระยับสะดุดตา สิ่งที่ต้องแสงส่องประกายงดงามนี้หาใช่สิ่งอื่นใดไม่ แต่เป็นมุกวิญญาณรูปร่างดั่งผลึกน้ำแข็งขนาดเท่าผลซีเหมย [2] กองกันเป็นเนินสูงถึงหัวเข่า มุกวิญญาณสีม่วงปะปนไปด้วยสีน้ำเงินประปราย เด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงเดินไปยังจุดที่ปรากฏมุกวิญญาณสีน้ำเงินส่องประกายอยู่

เมื่อคืนเขาต้องรับมือกับฝูงแมลงฝูงแล้วฝูงเล่าที่กรูเกรียวกันเข้ามาจากทั่วสารทิศถึงแปดครั้งแปดคราด้วยกัน มีตั้งแต่ฝูงเล็กนับพันตัวไปจนกระทั่งฝูงใหญ่ราวหมื่นตัว หรือแม้แต่กระทั่งกรูเข้ามาพร้อมกันหลาย ๆ ฝูงก็มี เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขาได้สังหารแมลงสัตว์อสูรไปมากเท่าไร ยามนี้เขาสนใจเพียงมุกวิญญาณสีน้ำเงินในมือที่เพิ่งเก็บขึ้นมา จากนั้นก็หายเข้าไปในมิติจิตของตน

เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่กิ่งเดียวกับจิ้งจอกน้อยเพื่อให้อาหารแก่มัน พลางยื่นมุกวิญญาณที่มีสีสันเฉกเช่นเดียวกับดวงตาของมันไปยังเบื้องหน้า พลางกล่าว

"ไม่รู้ว่ามุกวิญญาณเม็ดนี้เจ้าจะสามารถนำมาใช้เพิ่มพูนพลังตบะได้หรือไม่?" 

จิ้งจอกน้อยเงยหน้าขึ้นจากชิ้นเนื้อจากนั้นยื่นจมูกชื้นขึ้นมาดม ๆ มุกวิญญาณสีน้ำเงินครู่หนึ่ง ก่อนจะละความสนใจในสิ่งแวววาวที่ผู้เป็นนายหยิบยื่นให้กลับไปกัดกินชิ้นเนื้อด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยต่อไป

"ใช้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?"

ต้องทราบว่าสัตว์อสูรแม้มีระดับตบะต่ำเตี้ยเพียงใดก็ไม่อาจดูถูกสัญชาตญาณของพวกมันได้ ดังนั้นเมื่อมันพบเจอมุกวิญญาณที่สามารถช่วยเพิ่มพูนตบะของพวกมันได้ มันก็จะกลืนกินเข้าไปทันทีอย่างไม่ลังเล 

ตั้งแต่เขาตื่นจากการหลับใหลกระทั่งในยามนี้ เขาพบเห็นมุกวิญญาณรูปร่างดั่งผลึกน้ำแข็งมาแล้วสามสี เขียว ม่วง และน้ำเงิน เดิมทีเขาเข้าใจว่าสัตว์อสูรแต่ละชนิดจะมีมุกวิญญาณสีสันต่างกัน แต่แมลงสัตว์อสูรที่เขาสังหารไปเมื่อคืน เห็นได้ชัดว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ไฉนถึงได้มีมุกวิญญาณสีสันแตกต่างกันเล่า เด็กหนุ่มโยนมุกวิญญาณในมือทิ้งอย่างไม่สนใจไยดีพลางกระโดดลงจากกิ่งไม้ เมื่อหยั่งเท้าสัมผัสพื้นเขาก็ออกมาจากมิติจิตแล้ว

เด็กหนุ่มเดินไปยังซากสัตว์อสูรตัวใหญ่ ค้น ๆ คุ้ย ๆ ใต้ผืนทรายอยู่ครู่หนึ่งจึงหามุกวิญญาณสีเขียวจนพบ จากนั้นก็เดินไปกอบมุกวิญญาณสีม่วงมากำหนึ่งแล้วหายเข้าไปในมิติจิตของตนอีกครั้ง เขายังคงทำเช่นเดิม นำมุกวิญญาณที่ได้มายื่นไปเบื้องหน้าจิ้งจอกน้อยทั้งหมด มันก็ยังคงกระทำเช่นเดิมเพียงดม ๆ แล้วหาได้ใส่ใจสิ่งของแวววาวยังเบื้องหน้า 

"เจ้าอย่างห่วงแต่กิน ลองดูดี ๆ" เด็กหนุ่มกล่าวพลางเลือกมุกวิญญาณสีน้ำเงินที่ปะปนมากับมุกวิญญาณสีม่วงทิ้งไป จิ้งจอกน้อยพ่นลมหายใจพรืดราวกับขุ่นเคืองก่อนยื่นจมูกชื้นมาดุนดันมุกวิญญาณสีม่วงที สีเขียวที ก่อนก้มลงคาบชิ้นเนื้อก้าวหันหลังไปหมอบกินพลางสะบัดหางกระต่ายของมันใส่เด็กหนุ่ม ท่าทางมีความสุขยิ่งนัก

"!"

เด็กหนุ่มทั้งขันทั้งฉิวจึงปัดมุกวิญญาณที่วางอยู่บนกิ่งไม้ทิ้งลงไปเบื้องล่าง จากนั้นก็กลับออกไปด้านนอกเพื่อเตรียมเสบียงให้จิ้งจอกเอาแต่ใจก่อนออกเดินทาง เขาใช้เวลาสามวันสามคืนในชำระล้างพิษและรมควันเนื้อสัตว์อสูรจนหมดสิ้น ในระหว่างนี้นอกจากสัตว์อสูรที่เขาไม่รู้จักเผ่าพันธุ์ตัวหนึ่งกับฝูงแมลงอีกสองสามฝูงก็ไม่พบเจอสัตว์อื่นอีกเลย แม้แต่มนุษย์ก็ไม่มีมาเยือนในสถานที่แห่งนี้ 

ด้วยสติปัญญาที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาสัตว์เทพอสูรด้วยกัน ก่อนออกเดินทางเขาจึงเกิดความลังเลเล็กน้อย ในร่างของสัตว์เทพอสูรไม่มีมุกวิญญาณดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมุกวิญญาณมากนัก แมลงฝูงล่าสุดที่เขาสังหารไปปรากฏมุกวิญญาณสีฟ้าเม็ดหนึ่ง อีกทั้งสัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายแมงป่องแต่กลับมีหัวยื่นออกมาดั่งหัวกุ้ง ลำตัวขนาดใหญ่เท่ากับวัวตัวหนึ่ง มันมีมุกวิญญาณสีเขียวเฉกเช่นเดียวกับสัตว์อสูรที่เขาสังหารตัวแรก แต่ไม่ว่าจะเป็นมุกวิญญาณเม็ดไหนเจ้าจิ้งจอกน้อยก็หาได้ใส่ใจ 

'หรือว่าตบะของจื่อเชาจะต่ำจนเกินไปจึงมิอาจรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์อสูร' 

เด็กหนุ่มสลัดความคิดวุ่นวายทิ้งไปดั่งเช่นที่ผ่านมา ลงมือกอบกำมุกวิญญาณที่เกลื่อนกลาดบนพื้นทรายโยนส่ง ๆ เข้าไปในมิติจิตหลายครั้ง พลางคิดว่า คงต้องหาถังน้ำใบใหญ่สักใบ ไม่เช่นนั้นพื้นที่ในมิติจิตที่เดิมที่เสียหายจนมีขนาดเหลือเพียงหนึ่งส่วนนี้ คงไม่สามารถจัดเก็บอะไรได้นอกจากเป็นที่วางภาชนะน้อยใหญ่ซึ่งบรรจุน้ำบริสุทธิ์อยู่เต็มปริ่มทุกใบ 

มุกวิญาณจำนวนไม่ถึงหนึ่งส่วนจากที่กองอยู่บนพื้นทราย ในยามนี้หล่นกระจัดกระจายไปทั่วพื้นดินบริเวณแปลงสมุนไพร ส่วนเสบียงอาหารของเจ้าจิ้งจอกน้อย เขาฉีกผ้าจากเศษกระโจมมาห่อไว้แล้วนำไปแขวนห้อยไว้บนต้นไม้แฝดโบราณจนเต็มไปหมด

เด็กหนุ่มออกเดินทางโดยอาศัยสัญชาตญาณสัตว์เทพอสูรของตนนำทางอีกครั้ง ผ่านไปห้าวันนอกจากท้องฟ้าและผืนทรายเขาก็ไม่พบเห็นสิ่งใดอีก กระทั่งเข้าสู่วันที่หก เสี่ยวเชาจิ้งจอกน้อยเริ่มเบื่อหน่ายที่ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนกิ่งแคบ ๆ ของต้นไม้โบราณ มันจึงติดตามเขาออกมาสู่ภายนอก 

เสี่ยวเชามิได้อ่อนแรงดั่งคราที่เขาเพิ่งตื่นจากการหลับใหล มันจึงไม่ยอมให้เขาอุ้มอีกต่อไป แต่มันกลับปีนขึ้นไปยืนเกาะอยู่บนไหล่ข้างหนึ่งของเขา การเดินทางด้วยวิชาตัวเบาผสานพลังฤทธิ์เพียงไม่ถึงหนึ่งส่วน ทำให้มันพลัดตกจากไหล่ของเขาไปหลายครั้งหลายครา ท้ายที่สุดการเดินทางต่อจากนี้เด็กหนุ่มจึงจำใจใช้เพียงวิชาตัวเบาเท่านั้น

เข้าสู่วันที่สิบ เสี่ยวเชาเริ่มคุ้นเคยกับสภาพอากาศอันวิปริตอาเพศในทะเลทรายแห่งนี้แล้ว มันจึงคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับกระโจนลงจากไหล่ของเขา ออกวิ่งนำไปเบื้องหน้า อย่างไรมันก็เป็นถึงสัตว์อสูรตนหนึ่ง ความเร็วของฝีเท้าจึงมิได้ด้อยไปกว่าวิชาตัวเบาของเขา แต่ด้วยระดับของมันอยู่ในขั้นต่ำเขาจำต้องลดฝีเท้าลงและทะยานตามมันไปโดยทิ้งระยะห่างไม่เกินหนึ่งจั้ง

ทันใดนั้น ในที่ห่างไกลออกไปแว่วเสียงกรีดร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากปากมนุษย์ แม้ว่าเขาจะฟังไม่เข้าใจ แต่ฟังออกว่าเสียงร้องนั้นเปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง

"เสี่ยวเชา กลับมา" เด็กหนุ่มร้องเรียกจิ้งจอกน้อย มันชะงักฝีเท้าอย่างรวดเร็วพาให้ฝุ่นทรายตลบขึ้นมา มันสลัดขนแรง ๆ หลายคราก่อนกระโจนกลับขึ้นไปบนไหล่ของผู้เป็นนาย เด็กหนุ่มยกมือขึ้นประคองร่างของจิ้งจอกน้อยก่อนทะยานด้วยวิชาตัวเบาผสานพลังฤทธิ์เพียงไม่ถึงหนึ่งส่วน หนึ่งก้าวสามารถเดินทางได้พันลี้ [3] เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ [4] เขาก็บรรลุถึงเป้าหมาย 

เบื้องหน้าปรากฏลมกรรโชกรุนแรง ก่อให้เกิดพายุหมุนสามลูกหมุนควงไปมาคล้ายดั่งงูยักษ์ตัวใหญ่สามตัวเริงระบำท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง แรงของพายุหมุนพัดพาให้เม็ดทรายปลิวว่อนเต็มท้องฟ้าคล้ายดั่งกำแพงกั้นระหว่างภายนอกกับใจกลางพายุหมุน หากเป็นมนุษย์ธรรมดาคงไม่อาจเห็นผู้ที่ถูกลมหมุนสามลูกกักขังอยู่ภายใน แต่ไม่ใช่กับสัตว์เทพอสูรบรรพกาลเช่นเขา 

ดวงตาอันเฉียบคมดุจเหยี่ยวจ้องมองไปยังคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนถืออาวุธรูปร่างแปลกตาตั้งท่าเตรียมพร้อม คนเหล่านั้นหันหลังชนกันเป็นวงกลม แต่ใบหน้าของแต่ละคนกลับทอประกายหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างปิดไม่มิด เด็กหนุ่มได้ยินคนเหล่านั้นสนทนากันแม้นว่าฟังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่พอจะคาดเดาได้ว่าผู้ที่เป็นหัวหน้าบอกให้คนที่เหลืออดทนรอ

'รออะไร' เด็กหนุ่มครุ่นคิดอย่างฉงนสงสัย เห็นอยู่ว่าพายุหมุนทั้งสามลูกหาได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ แต่เป็นพายุหมุนอันเกิดจากพลังฤทธิ์ซึ่งเป็นวิชาประเภทเดียวกันกับพลังฤทธิ์ของสิงโตวายุซิวโจว เด็กหนุ่มสลัดความคิดวุ่นวายทิ้งไปดั่งเช่นที่ผ่านมา ในเมื่อบอกให้รอ เช่นนั้นเขาก็จะรอ

ผู้คนที่ตกอยู่ในวงล้อมไม่มีใครเคลื่อนไหวแม้แต่คนเดียว พายุทรายเป็นสิ่งที่ฆ่าไม่ตาย อาวุธใดก็ทำอะไรมันไม่ได้ เมื่อพายุหมุนทั้งสามลูกขยับวงล้อมให้แคบลง ผู้ที่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวพลันล้มลงช้า ๆ ทีละคน ๆ กระทั่งคนสุดท้ายล้มลง พายุหมุนทั้งสามลูกพลันสงบลงอย่างเชื่องช้า ใจกลางพายุหมุนปรากฏร่างเงาดำซุกซ่อนอยู่ภายใน 

 ท่ามกลางฝุ่นทรายปลิวว่อนปรากฏแมงมุมสามขาขนาดตัวไม่ใหญ่ไปกว่าจิ้งจอกน้อย ตลอดทั้งตัวและขาของพวกมันปกคลุมด้วยขนละเอียดเล็กดุจเส้นไหมสีดำเงางาม ยกเว้นตรงส่วนหางที่มีลักษณะเป็นปล้อง มีห้าปล้อง แต่ละปล้องมีหนามแหลมคมงอกออกมาสามเส้นขนาดลดหลั่นกันไปตามขนาดปล้อง มีส่วนหัวแต่กลับไร้ดวงตา

 'มิใช่พลังฤทธิ์!'

 เด็กหนุ่มรู้สึกปวดใจในความโง่เขลาของตนขึ้นมาครามครัน เมื่อเห็นว่าขาทั้งสามของพวกมันแต่ละตัวหมุนควงทำหน้าที่คล้ายปีกใบพัดของจู๋ชิงถิง [5] ด้วยความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวทำเกิดเป็นพายุหมุนขึ้นมา เมื่อครู่เขามัวแต่สนใจกลุ่มคนที่ตกอยู่ในวงล้อมทำให้มองข้ามใจกลางพายุหมุน ชีวิตหลายหมื่นปีของเขาช่างดำรงอยู่อย่างเสียเปล่าจริง ๆ

 สัตว์อสูรแมงมุมสองในสามขยับร่างเข้าไปหาเหยื่อที่นอนแข็งทื่ออยู่บนพื้นทรายราวกับหมาป่าหิวโหย แต่กลับมีตัวหนึ่งที่ยืนตระหง่านมั่นคงหันทิศส่วนหัวไร้ซึ่งดวงตามายังตำแหน่งที่เขายืนอยู่ กระทั่งพวกพ้องของมันฉีกทึ้งร่างของเหยื่อจนไม่เหลือสภาพ สัตว์อสูรแมงมุมตัวนั้นก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้นชี้มาทางเขา ก่อนจะมีเสียงอู้อี้ทุ้มต่ำดังลอยมา

 'กลิ่นอายของเจ้าช่างแปลกประหลาดนัก แต่กลับกระตุ้นให้ข้าอยากลิ้มลอง' 

สิ้นเสียงของมันสัตว์อสูรแมงมุมอีกสองตัวพลันเคลื่อนไหวคล้ายปู วิ่งตรงไปยังเด็กหนุ่ม เหยื่ออันแสนโอชะที่เหลือทันที 

'หยุด! มนุษย์ผู้นี้เป็นอาหารของข้า' สัตว์อสูรที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าตวาดเสียงดังกึกก้อง พวกพ้องทั้งสองพลันหยุดชะงัก ย่อเก็บขาทั้งสามข้างไว้ใต้ท้องอีกทั้งยังก้มหมอบกระดกหางขึ้นด้วยความกริ่งเกรง

'มนุษย์อย่างนั้นหรือ?' เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความขุ่นเคือง ไม่คิดว่าสัตว์อสูรตนนั้นจะเห็นเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง น่าโมโหยิ่งนัก! 

"เจ้าสัตว์อสูรหน้าเหม็น ตาช่างไร้แวว!…" มันไม่มีตา? หากแต่เด็กหนุ่มตวาดด่าออกไปแล้ว ช่างเถิด! เขาสลัดความคิดวุ่นวายทิ้งไปดั่งเช่นที่ผ่านมาอย่างรวดเร็วพลางกล่าวกับจิ้งจอกน้อยที่ยืนอยู่บนไหล่ของตน "เสี่ยวเชา เจ้าไปหลบในมิติจิตก่อน" 

ทันใดนั้น ร่างของเด็กหนุ่มพลันเปล่งแสงสีม่วงเจิดจรัสออกมาแล้วพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า รัศมีโดยรอบในระยะสามลี้พลันถูกพลังมหาศาลกดทับ สัตว์อสูรแมงมุมสองตัวที่ยังคงหมอบอยู่ที่เดิมถูกพลังหนักหน่วงนับหมื่นชั่ง [6] ซึ่งจู่โจมออกมาอย่างรวดเร็วดุจพายุอสนีบาตกดทับจนร่างแหลกสลาย สัตว์อสูรอีกตัวหนึ่งสัญชาตญาณเหนือกว่าพวกพ้องมาก มันเพียงเคลื่อนไหวปั่นป่วนหากแต่หลบหลีกได้อย่างว่องไว 

สัตว์อสูรแมงมุมยังไม่ทันหนีออกนอกรัศมีพลังกดทับ ร่างเงาดำสายหนึ่งพลันกระแทกร่างฟาดเปรี้ยงลงบนพื้นทราย แรงกระแทกนี้ส่งให้ทั้งตัวมันและเม็ดทรายโดยรอบลอยขึ้นเหนือพื้นสูงขึ้นไปกว่าห้าสิบจั้งก่อนร่วงหล่นสู่พื้น กระชั้นชิดติดกันบนพื้นทรายเบื้องล่างพลันเกิดเสียงกึก ๆ จากใต้ดิน ภายในรัศมีกดทับเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะปรากฏแท่งหินขนาดใหญ่พุ่งทะยานขึ้นจากพื้นทรายฟาดกระแทกร่างของมันอย่างรุนแรงจนลอยหวือขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง มันกระเด็นไปได้ไม่ไกลนักเมื่อร่างมันกระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นกลางอากาศ คราครั้งนี้ร่างของมันยังไม่ทันร่วงลงสู่เบื้องล่าง แท่งหินก็พุ่งตามติดมาบีบอัดไว้กับกำแพงที่มองไม่เห็น 

ในที่ห่างไกลออกไปกว่าร้อยกิโลเมตร รถหุ้มเกราะคันหนึ่งจอดอยู่บนเนินทรายสูง คนที่อยู่ในรถต่างมองภาพการต่อสู้ของสัตว์กลายพันธุ์ทั้งสองด้วยอาการตกตะลึงตาค้างพลางลอบสูดหายใจเย็นเยียบ พวกเขามองประเมินแมงมุมกลายพันธุ์จากระยะไกล หลังจากที่ร่างของมันระเบิดออกกลางอากาศประกายของคริสตัลนิวเครียสสีเหลืองก็หล่นลงมา 

เป็นแมงมุมกลายพันธุ์ระดับห้า!

ทางด้านสัตว์กลายพันธุ์อีกตัวหนึ่งพวกยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นสัตว์ประเภทใดและมีระดับอยู่ในขั้นไหน เนื่องจากรอบตัวมันยังคงมีฝุ่นทรายที่ปลิวว่อนเปรียบดั่งเป็นกำแพงสูงสิบกว่าเมตรบดบังพรางตาอยู่

"หัวหน้า…คนจากหน่วยที่สิบหก พวกเขา…" หนึ่งในคนที่นั่งอยู่บนรถเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง

"หน่วยที่สิบหกปฏิบัติการล้มเหลว พวกเราดูสถานการณ์ไปก่อนเพื่อรอเก็บเกี่ยวทรัพยากรเถอะ" ผู้เป็นหัวหน้ายังคงจับจ้องไปยังฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศผ่านกล้องส่องทางไกล แล้วเอ่ยต่อไปว่า "นอกจากทรัพยากรที่หน่วยที่สิบหกได้มา ยังมีคริสตัลนิวเครียสระดับห้ารอให้เราได้เก็บเกี่ยวอยู่"

สิบนาทีถัดมาฝุ่นทรายได้สลายไปหมดแล้ว วิสัยทัศน์ที่มองผ่านกล้องส่องทางไกลกลับมาแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง หัวหน้าหน่วยที่สามขมวดคิ้ว ใบหน้าพลันเคร่งเครียดขึ้นอีกหลายส่วนก่อนกล่าวกับสมาชิกในหน่วย

"หายไปแล้ว ทั้งแท่งหิน ทั้งสัตว์กลายพันธุ์ตัวนั้น มะ...มันหายไปแล้ว"

"อะไรนะครับ? หะ หายไป แล้วหัวหน้าเห็นหรือเปล่าว่ามันเป็นตัวอะไร" 

หัวหน้าหน่วยที่สามลดกล้องส่องทางไกลในมือลงพลางส่ายหน้า เขาไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นนอกจากผืนทรายเวิ้งว้างกับซากสัตว์กลายพันธุ์ตัวหนึ่งเท่านั้น "สถานการณ์ยังไม่แน่ชัด เผื่อมันยังอยู่แถว ๆ นี้ เพื่อความปลอดภัยพรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยลงไปสำรวจพื้นที่กัน" จากนั้นก็ออกคำสั่งให้คนในหน่วยเสาะหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อพักแรมในคืนนี้ 

ทางด้านสัตว์กลายพันธุ์ตัวนั้น? …

บริเวณที่สัตว์อสูรแมงมุมเคยมีชีวิตอยู่ พื้นที่ว่างก่อนหน้าได้กลายเป็นแอ่งทรายลึกซึ่งมีรัศมีเกือบห้าจั้ง ยังก้นแอ่งปรากฏเต่าดำซึ่งมีขนาดตัวใหญ่กว่าสัตว์อสูรแมงมุมถึงสี่ส่วน ลวดลายอักษรโบราณสีม่วงเหลือบทองสะท้อนกับแสงแดดจนเกิดประกายระยิบระยับงดงาม หลังสัตว์เทพอสูรเต่าพสุธาได้ระบายโทสะที่ถูกสัตว์อสูรชั้นต่ำกล่าววาจาลบหลู่จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กลายร่างกลับมาเป็นเด็กหนุ่มผู้งดงามดังเดิม

ทันทีที่เด็กหนุ่มกลายร่างเป็นมนุษย์ เสี่ยวเชาพลันปรากฏตัวที่ข้างเท้าจากนั้นปีนป่ายขึ้นบนไหล่ของเขา พลางกระดิกหางกระต่ายท่าทางมีความสุข "ทำไม? กลัวว่าจะพลาดเรื่องสนุกเช่นนั้นหรือ" เขาเอ่ยถามเจ้าจิ้งจอกน้อยอย่างอารมณ์ดีจากนั้นจึงปีนไปในแอ่งทรายเพื่อหาเศษซากร่างของมนุษย์กลุ่มนั้นกระทั่งค้นพบแขนข้างหนึ่งที่เหลือเพียงท่อนแขนตั้งแต่ข้อศอกลงมาจนถึงฝ่ามือ ที่แท้คนเหล่านี้ถูกขนเส้นเล็กราวกับเส้นไหมสะบัดใส่ร่างนั่นเอง ด้วยลมจากพายุหมุนอันรุนแรงอีกทั้งยังไม่มีสถานที่กำบังจึงได้ตกตายในสภาพเยี่ยงนี้

เขาละความสนใจจากเศษซากเหล่านั้น ก่อนทะยานด้วยวิชาตัวเบาไปยังจุดที่มุกวิญญาณสีเหลืองร่วงหล่นลงมา คุ้ย ๆ เขี่ย ๆ ไปในพื้นทรายอยู่เกือบสองเค่อจึงหามุกวิญญาณเม็ดนั้นจนพบ เพราะหล่นลงมาจากที่สูงมันจึงจมลึกลงไปในพื้นทราย อีกทั้งยังมีเม็ดทรายที่ปลิวกระจายลงมาทับถมชั้นแล้วชั้นเล่า มานึกเสียใจภายหลังที่ตนเองใช้พลังฤทธิ์เกินกว่าเหตุเพื่อระบายโทสะในยามนี้ก็สายไปแล้ว

"อย่าให้ความลำบากของข้าต้องสูญเปล่า" เขายื่นมุกวิญญาณสีเหลืองไปตรงหน้าจิ้งจอกน้อย มันก็ยังคงทำเช่นเดิม เพียงดม ๆ แล้วหาได้สนใจไม่ "เหอะ!" เขาแค่นเสียงออกมาคำหนึ่งจากนั้นก็โยนมุกวิญญาณส่ง ๆ ไปในมิติจิต

ดวงตาหงส์ทอดมองไกลออกไปยังเนินทรายสูง ๆ ต่ำ ๆ แนวพื้นทรายที่จรดกับขอบฟ้าปรากฏฝุ่นทรายตลบฟุ้งเป็นทางยาวสายหนึ่ง เขาไม่ขบคิดให้วุ่นวายเพียงสะกิดปลายเท้าทะยานด้วยวิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้นทันที

ฟ้ากำลังจะมืด กลุ่มคนที่เด็กหนุ่มติดตามอยู่พลันหยุดการเคลื่อนไหว เขาจงใจทิ้งระยะห่างจากคนกลุ่มนั้นราวยี่สิบลี้ แม้จะอยู่ในระยะไกลแต่ในพื้นที่โล่งเช่นนี้แม้ในความมืดเขายังสามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้อย่างชัดเจน คนเหล่านั้นก้าวลงมาจากพาหนะรูปร่างแปลกตา มันมีล้อคล้ายรถม้าแต่กลับมีสี่ล้อ อีกทั้งยังไม่ต้องใช้สัตว์ในการลากจูงก็สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วดุจติดปีกบิน ยามที่มันเคลื่อนไหวยังส่งเสียงคำรามคล้ายดั่งสัตว์ร้าย เพียงแค่พาหนะยังร้ายกาจถึงเพียงนี้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมิอาจดูเบาคนกลุ่มนี้ไปได้

คนกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยบุรุษสามสตรีหนึ่ง คนทั้งสี่ล้วนแต่งกายแปลกตา สตรียังแต่งกายเฉกเช่นเดียวกับบุรุษ ทุกคนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนจึงใช้เวลาเพียงไม่นานค่ายพักแรมชั่วคราวซึ่งประกอบด้วยกระโจมสองหลัง กองไฟเล็ก ๆ กองหนึ่งก็ถูกจัดเตรียมเสร็จสิ้น

เด็กหนุ่มเห็นพวกเขาดื่มกินเสบียงที่ตระเตรียมมา จึงนึกอยากเข้าไปผูกมิตรสานสัมพันธ์เพื่อขอแบ่งปันน้ำบริสุทธิ์มาผสมน้ำพุสวรรค์ให้เสี่ยวเชาได้ดื่ม ความคิดเพิ่งผุดพรายขึ้น เสียงสนทนาพูดคุยพลันดังแว่วมา

"ฐานกัวจวิ้นเป็นฐานที่มีการตรวจสอบเข้มงวดที่สุดในบรรดาสามฐานใหญ่ในประเทศ ไม่ง่ายเลยกว่าหน่วยที่สิบหกจะทำการแฝงตัวเข้าไปได้" สมาชิกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ นำพาความหดหู่มาสู่บรรยากาศโดยรอบ 

เด็กหนุ่มที่อยู่ห่างออกไปได้ยินวาจานี้พลันขมวดคิ้ว ดวงตาหงส์ฉายแววโง่งม ไม่ใช่ว่าคนเหล่านั้นพูดกันคนละภาษากับเขา เพียงแต่บางคำบางสำนวนเขากลับฟังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เมื่อพิจารณาจากอาภรณ์ที่คนพวกนั้นสวมใส่ มันไม่ใช่ทั้งของแคว้นเปียนและแคว้นอิ่นอย่างแน่นอน เขาพลันคิดไปถึงดินแดนอันไกลโพ้นที่งูขาวเกล็ดน้ำแข็งฟางหนีเคยเล่าให้ฟังในระหว่างร่ำเรียนตำรากับนาง เกาะน้ำแข็งในทะเลเหนืออันเป็นบ้านเกิดของงูขาวเกล็ดน้ำแข็ง

เป็นไปไม่ได้! ฟางหนียังเคยกล่าวหยอกเย้าว่า หากเขาไปเยือนเกาะแห่งนั้นจะไม่อาจสำแดงพลังฤทธิ์ได้เต็มที่ เป็นเพราะเกาะแห่งนั้นไม่มีดินแต่เกาะทั้งเกาะเกิดจากน้ำแข็ง เมื่อขบคิดมาถึงส่วนนี้เด็กหนุ่มพลันรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา เขาอาจจะไม่ได้โง่งมถึงเพียงนั้นแล้วก็เป็นได้ แต่การสนทนาที่อยู่ห่างออกไปทำให้ความลำพองใจที่ผุดพรายขึ้นมาปลาสนาการไปสิ้น

"ปฏิบัติการในฐานกัวจวิ้นพักไว้ก่อนชั่วคราว เมื่อเร็ว ๆ นี้หน่วยที่เจ็ดเพิ่งส่งข่าวของฐานเจิ้งเซี่ยกลับมา" หัวหน้าหน่วยที่สามกล่าวหวังสร้างบรรยากาศให้คึกคักขึ้น สมาชิกในหน่วยพลันตื่นตัวขึ้นมาทันที

"ฐานเจิ้งเซี่ย ฐานที่ตั้งอยู่บนเกาะทางใต้นั่นหรือครับ?" สมาชิกคนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น เห็นเพียงหัวหน้าหน่วยพยักหน้าพลางยกยิ้มเล็กน้อย

"สมกับเป็นหน่วยที่เจ็ด ถึงกับสามารถหาวิธีการเดินทางข้ามทะเลไปยังเกาะแห่งนั้นได้" สมาชิกหญิงเพียงคนเดียวเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม

"ก่อนวันสิ้นโลก เกาะแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นทางการทหารของกองทัพเรือ บนเกาะจึงมีมาตรการกวดขันอย่างเข้มงวด อีกทั้งยังมียุทโธปกรณ์มากมาย แม้เข้าสู่วันสิ้นโลกฐานแห่งนี้จะได้รับเสียหายไม่น้อย แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังเทียบไม่ได้กับสถานที่ต่าง ๆ บนแผ่นดินใหญ่ จำได้ว่าในเวลานั้นฐานเจิ้งเซี่ย ใช้เวลาแค่ห้าวันก็สามารถเครียฐานและประกาศออกมาว่าพื้นที่บนเกาะเป็นพื้นที่ปลอดภัย วันเดียวกันนั้นยังส่งคนออกไปกู้ภัยทั้งทางทะเลและชายฝั่งใกล้เคียง ช่วยเหลือประชากรที่รอดชีวิตกลับมาได้อีกหลายพันคน" รองหัวหน้าหน่วยที่สามบอกเล่าความเป็นมา

"ถึงแม้ฐานเจิ้งเซี่ยจะปฏิบัติการเฉียบคมฉับไว แต่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดของเกาะ ทำให้ไม่สามารถรองรับประชากรได้มากมายนัก แต่ถึงจะเป็นแค่ฐานเล็ก ๆ ฐานหนึ่งแต่ระดับความแข็งแกร่งกลับอยู่ในระดับ A ผู้นำฐานเป็นผู้ใช้พลังพิเศษระดับสี่" หัวหน้าหน่วยที่สามสรุปสั้น ๆ 

"#@$%!"

เด็กหนุ่มลอบฟังอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งฟังกลับยิ่งฟังไม่เข้าหู ไม่เข้าใจว่าคนเหล่านั้นพูดถึงเรื่องอะไร เขาสลัดความคิดวุ่นวายทิ้งไปดั่งเช่นที่ผ่านมา พร้อมตัดสินใจว่าจะซุ่มดูอยู่เงียบ ๆ ไม่เข้าไปผูกมิตรกับคนที่พูดจายังฟังไม่รู้เรื่องเหล่านั้น 

'เหอะ! ล้วนโง่เขลาเบาปัญญายิ่งกว่าเขาเสียอีก'

เชิงอรรถ

[1] ^1 จั้ง (丈) = 3.33 เมตร

[2] ^ซีเหมย (西梅) หมายถึงลูกพรุน

[3] ^1 ลี้ (里) = 500 เมตร

[4] ^1 เค่อ (刻) ประมาณ 15 นาที

[5] ^จู๋ชิงถิง (竹蜻蜓) หรือแมลงปอไม้ไผ่ เป็นของเล่นพื้นบ้านของจีน

[6] ^1 ชั่ง (斤) = 500 กรัม

More Chapters