LightReader

Chapter 3 - สมุดวาดรูปของทีน่า

ทีน่าไม่ใช่คนดังในห้องเธอไม่ใช่เด็กเรียบร้อย ไม่ใช่นักกิจกรรม ไม่ใช่คนเก่งล้นห้องแต่มีบางอย่างในตัวเธอที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้

เธอไม่ชอบคุยเล่น ไม่หัวเราะเสียงดังบางวันก็ไม่พูดทั้งวันนอกจากตอนตอบคำถามครูแต่หากใครเคยเดินผ่านโต๊ะเธอ จะเห็นสมุดวาดรูปที่เธอพกติดตัวเสมอ

ภาพในนั้นไม่เหมือนภาพของเด็กที่เรียนศิลป์ทั่วไปไม่มีภูเขา พระอาทิตย์ หรือบ้านหลังคาแดงกลับเป็นรูปแปลก ๆ เช่น เด็กหญิงที่มีต้นไม้ขึ้นจากหัวมือที่กำลังกลืนหายไปในผนัง หรือผู้คนที่เดินโดยมีเงาตัวเองผูกติดกับลูกโป่ง

มีคนเคยถามว่าภาพเหล่านี้หมายถึงอะไรทีน่าตอบสั้น ๆ ว่า "มันคือสิ่งที่ฉันพูดไม่ออก"

บ้านของทีน่าดูเรียบร้อยมีโซฟาหนังวางในตำแหน่งเป๊ะ มีแจกันดอกไม้เปลี่ยนใหม่ทุกอาทิตย์ในมุมมองของคนนอก ครอบครัวของเธอสมบูรณ์แบบ

แต่ความจริงคือพ่อกับแม่เธอไม่เคยพูดกันเกินสามประโยคต่อวันบางวันแม่ทำกับข้าวไว้ แต่ไม่รอเธอมากินบางวันพ่อหายไปตั้งแต่เช้า และกลับมาตอนเธอหลับ

ทีน่ารู้สึกว่าบ้านของเธอเป็นเหมือนฉากภาพยนตร์ที่ทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างดีแต่ไม่มีนักแสดง

เธอเคยพยายามถามแม่ว่า "วันนี้เป็นยังไงบ้าง"แต่คำตอบที่ได้คือ "ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ"

คำว่า เหมือนเดิม สำหรับเธอ...คือความว่างเปล่าที่ซ้ำซาก

เมื่ออยู่คนเดียว ทีน่าชอบเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ และวาดรูปดินสอกลายเป็นเสียงของเธอในวันที่เธอเหนื่อยสีน้ำกลายเป็นน้ำตาในวันที่เธอร้องไม่ออก

หนึ่งในภาพที่เธอวาดบ่อยที่สุดคือ "รอยร้าว"ผนังที่แตกร้าวแก้วน้ำที่กำลังแตกกลางอากาศหน้าคนที่มีเส้นปริแตกคล้ายกระจก

"ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างมันกำลังร้าว...แค่ไม่มีใครเห็น"

เธอเคยบอกตัวเองว่าไม่ต้องมีใครเข้าใจแค่มีที่ระบายออกมาก็พอ

แต่ในใจลึก ๆ เธอก็ยังหวังว่าสักวันจะมีใครสักคนเปิดสมุดของเธอ แล้วเห็นความเจ็บปวดที่ไม่มีคำอธิบาย

วันหนึ่ง ฝนตกหนักทั้งโรงเรียนเปียกชุ่ม เสียงฟ้าร้องดังระงมระหว่างคาบว่าง

ทีน่านั่งวาดรูปที่โต๊ะริมหน้าต่าง ขณะภูเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ แบบไม่ได้ตั้งใจเธอไม่ได้ทัก แต่ไม่ได้ลุกหนีเหมือนทุกที

ผ่านไปสิบนาทีเธอยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา

ในภาพคือเด็กหญิงนั่งอยู่ในห้องมืด ล้อมรอบด้วยคนเงา ๆ ที่ตะโกนใส่เธอใบหน้าของเด็กหญิงดูนิ่ง แต่มีเส้นน้ำตาไหลลงมาทางเงา ไม่ใช่ตัวจริง

ภูรับมาโดยไม่ถามอะไรเขาดูอยู่นาน ก่อนจะพูดว่า"มันเจ็บมากเลยอะ..."

ทีน่าไม่ตอบแต่ยิ้มจาง ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์

หลังจากวันนั้น ทีน่ากับภูเริ่มนั่งใกล้กันบ่อยขึ้นไม่ใช่แบบคู่หู ไม่ใช่แบบแฟน แต่เป็นแบบคนที่ "เงียบไปด้วยกันได้โดยไม่อึดอัด"

วันหนึ่งภูถามว่า"ทำไมเธอไม่พูดเลยเวลาอยู่กับคนอื่น"

ทีน่าตอบโดยไม่เงยหน้า"ฉันพูดออกไปไม่เก่งอะ...แต่ฉันอยากให้เขารู้แค่ว่าฉันฟังเขาอยู่"

คำตอบนั้นไม่ได้หวือหวาแต่ทำให้ภูเข้าใจว่าบางคนเกิดมาเพื่อ "ฟัง" มากกว่า "พูด"และบางคนแสดงความรักผ่านการนั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ

ทีน่าเคยรู้สึกว่าเธออ่อนแอที่ไม่กล้าพูดในห้อง ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ไม่กล้าผ่านสายตาของพ่อแม่

แต่หลังจากได้รู้จักภู ได้ยินเรื่องของแบงค์เธอเริ่มคิดว่า บางที...การอยู่กับความเงียบของตัวเองได้นาน ๆ ก็เป็นความกล้าแบบหนึ่ง

เธอไม่ได้ต้องการเสียงปรบมือแค่ต้องการพื้นที่ที่เธอจะไม่ต้องอธิบายตัวเองตลอดเวลา

และตอนนี้ เธอเริ่มรู้สึกว่าโต๊ะริมหน้าต่างในห้อง 5/3 อาจจะเป็นที่แบบนั้น

วันศุกร์ ทีน่ายื่นสมุดวาดรูปทั้งเล่มให้ภูเขารับไว้ เปิดดูช้า ๆ ทีละหน้าไม่มีคำบรรยาย ไม่มีคำอธิบายใต้ภาพ

แต่แต่ละภาพคือบทพูดที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เธอเคยพูดได้

หลังจากอ่านจบ ภูปิดสมุดแล้วยิ้ม"เราพูดเก่งไม่เท่าภาพเธอเลยอะ"

ทีน่าหัวเราะเบา ๆ — แบบที่ไม่ต้องฝืนแบบที่ไม่ต้องเก็บไว้ในสมุดอีกต่อไป

More Chapters